
การ Brexit เป็นเหตุการณ์ทางการเมืองที่มีนัยสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของสหราชอาณาจักร มันเป็นการตัดสินใจของประชาชนชาวอังกฤษในการออกจากสหภาพยุโรป (EU) ผ่านการลงประชามติเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2016
ก่อนการลงประชามติ อันที่จริง มีการโต้เ contention ระหว่างผู้สนับสนุนและฝ่ายต่อต้าน EU มาเป็นเวลานาน ผู้สนับสนุน EU เชื่อว่าสหภาพยุโรปช่วยสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การค้า และการเมืองแก่สมาชิกของมัน ในขณะที่ฝ่ายต่อต้าน EU แย้งว่าสหภาพยุโรปเป็นหน่วยงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ ขัดแย้งกับอธิปไตยของชาติ และกีดกันความเป็นอิสระ
เหตุผลหลักที่ทำให้เกิดการลงประชามติ Brexit ได้แก่:
- ความกังวลเกี่ยวกับอพยพ: หลายคนมีความกังวลว่า EU ทำให้จำนวนผู้ย้ายถิ่นฐานเข้ามาใน UK เพิ่มขึ้นมากเกินไป ซึ่งอาจส่งผลต่องานและบริการสาธารณะ
- ความรู้สึกไม่พอใจต่อระบบนิติบัญญัติของ EU: ผู้คนบางกลุ่มเห็นว่า EU มีอำนาจมากเกินไปและขาดความโปร่งใส
การลงประชามติ Brexit ได้รับการสนับสนุนจาก 52% ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง และหลังจากนั้น UK ก็เริ่มดำเนินกระบวนการถอนตัวอย่างเป็นทางการ การเจรจากับ EU เกี่ยวกับข้อตกลงถอนตัวได้ดำเนินไปอย่างยาวนานและเต็มไปด้วยความขัดแย้ง
ผลที่ตามมาของ Brexit นั้นกว้างขวาง และยังคงถูกวิเคราะห์อยู่:
- ผลกระทบทางเศรษฐกิจ: การ Brexit ได้สร้างความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน และส่งผลต่อการลงทุนและการค้าระหว่าง UK และ EU
- ผลกระทบทางสังคม: การ Brexit ก่อให้เกิดความขัดแย้งและแบ่งแยกในสังคมอังกฤษ
- ผลกระทบทางการเมือง: Brexit ได้ทำให้เกิดความสั่นคลอนทางการเมืองใน UK และ EU
หนึ่งในตัวละครสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ Brexit คือ Boris Johnson อดีตนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำการเคลื่อนไหว “Leave” (ออกจาก EU) Johnson มีบทบาทสำคัญในการรณรงค์เพื่อ Brexit และหลังจากนั้นเขาก็ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ UK
ในฐานะนักประวัติศาสตร์ การ Brexit เป็นเหตุการณ์ที่น่าสนใจและซับซ้อน ซึ่งส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อสหราชอาณาจักรและ EU
มันเป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นจากความไม่พอใจของประชาชน และแสดงให้เห็นถึงความท้าทายที่ใหญ่หลวงในการรักษาความสมดุลระหว่างอธิปไตยของชาติและการรวมตัวกันในยุโรป